อยากเขียนเกมส์ เขียนโปรแกรม เขียนแอพ ต้องเรียนคณะวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ใช่มั้ยคะ ? [Pantip]

อยากเขียนเกมส์ เขียนโปรแกรม เขียนแอพ ต้องเรียนคณะวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ใช่มั้ยคะ ? [Pantip]

อันดับแรกเรื่องคณะ => วิทย์คอม , ไอที , ครุฯ , สถาปัตย์ฯ , นิเทศฯ หลักๆที่มีเกี่ยวกับคอมก็ประมาณนี้ครับ
(สถาปัตย์ กับ นิเทศฯ เน้นสาขาแนวๆออกแบบ,มัลติมีเดีย มากกว่าครับ)
ทีนี้มาเจาะลงไปอีกนิดคือในส่วนของสาขาวิชา

อยากบอกว่า จริงๆแล้วไม่ต้องไปเครียดกับคณะมากครับ
เน้นเจาะจง สนใจตัวสาขาวิชาดีกว่าครับ
เพราะยกตัวอย่างเช่น
สาขาวิศวะคอม มีอยู่ทั้งในคณะวิศวะ หรือแม้กระทั่งคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม
สาขาไอที มีอยู่ทั้งในคณะไอที คณะวิทยาศาสตร์ หรือแม้กระทั่งคณะวิศวะ
สาขามัลติมีเดีย มีอยู่ทั้งในคณะไอที คณะวิทยาศาสตร์ คณะนิเทศศาสตร์ หรือแม้กระทั่งคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม
ฯลฯ

ลองไปดูหลักสูตรของแต่ละคณะ สาขาที่เราสนใจดูครับ ว่าเราชอบอันไหน อยากเรียนอันไหน
ทีนี้ก้มาดูว่า สมมุติ จขกท อยากเรียนมัลติ แต่ไม่รู้จะเข้ามัลติคณะไหนดี ครุฯ ไอที หรือ วิทยาศาสตร์
แบบนี้ก็ต้องมาดูครับว่า ตัว จขกท เมื่อเรียนจบไปอยากได้วุฒิอะไร ก็เลือกตามคณะนั้นเลยครับ

เอ้ออีกอย่าง บางมหาวิทยาลัย บางสาขา วุฒิ จะไม่ได้ตามคณะนะครับ ถึงจะเรียนคณะนั้นๆก็เถอะ
ตัวอย่างเช่น สาขาไอที คณะวิศวะ ไม่ได้วุฒิ วศบ. แต่สาขาครุโยธา คณะครุฯ จะได้เป็นวุฒิ วศบ. ก็มีนะครับ ดูดีๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

อย่างมหาวิทยาลัยที่ผมเรียน สาขาโยธา คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม ได้ 2 วุฒิเลย ทั้ง คอบ. และ วศบ. – –

เรื่อง Hardware กับ Software อธิบายง่ายก็คือ
Hardware สร้างของที่จับต้องได้ เช่นพวก robot , embedded system , อุปกรณ์ controller ต่างๆครับ
Software สร้างของที่จับต้องไม่ได้ เช่นพวก application , web application , computer animation ต่างๆครับ

ทีนี้เข้าเรื่อง(หลังนอกเรื่องไปเยอะ ฮ่าาา) จากที่ จขกท. ถาม ถ้าอยากเขียนโปรแกรม เขียนเกมส์
ก็คงหนีไม่พ้น สาขาทางด้านพวก วิทยาการคอมฯ สาขาไอที สาขามัลติมีเดียฯ พวกนี้ครับผม
เสริมให้แล้วกัน ถ้าเขียนโปแกรมมันไปได้หลายสาขา แต่ถ้าเน้นสร้างเกมส์ แนะนำสาขาด้านมัลติมีเดียเลยครับ
มันเจาะลึกมากกว่าพวกสาขาวิทยาการคอมฯ สาขาไอทีครับผม

สุดท้าย ย้ำอีกรอบครับ
อยากเรียนอะไร แนะนำให้เน้นมองไปที่ตัวสาขาวิชาครับ โชคดีครับ จขกท.
ยิ้ม

เด็กไทยนี่แม่งสอบเยอะกันเกินไปเปล่าวะ ที่ผ่านมาตั้งแต่ ป.6 ก็สอบ O-NET ม.3 ก็สอบ O-NET แล้วก็มา V-NET แล้วก็มาตรฐานวิชาชีพ ตอนนี้พอจะจบตรี ยังต้องสอบ U-NET อีกเรอะ !!! ‪#‎Orz‬

เด็กไทยนี่แม่งสอบเยอะกันเกินไปเปล่าวะ
ที่ผ่านมาตั้งแต่ ป.6 ก็สอบ O-NET ม.3 ก็สอบ O-NET
แล้วก็มา V-NET แล้วก็มาตรฐานวิชาชีพ
ตอนนี้พอจะจบตรี ยังต้องสอบ U-NET อีกเรอะ !!!
‪#‎Orz‬

ปล. ‪#‎บ่น‬
O-NET : ม.ต้น เท่าที่จำได้ข้อสอบง๊องแง๊งพอตัว บางข้อถามห่าไรไม่รู้
ส่วนของ ม.ปลายไม่รู้ ไม่เคยเรียน+สอบ
V-NET : นี่โอเคอยู่ แต่แม่งก็มีข้อสอบที่ไม่ตรงกับสายตัวเองพอควร
แถมหลายเรื่องไม่เคยเรียนอีก ปวดจิต 55555
มาตรฐานวิชาชีพ : อันนี้โอเคอยู่ ทดสอบตรงจุด ตรงสาย ทั้งทฤษฎี+ปฏิบัติ

เอ่อ ข้อบ่นนิดนะคนที่อ้าง+บ่นประมาณว่า “แค่ข้อสอบ o-net ยังไม่ได้เรื่องเลย”
แนะนิดนึงครับ อย่ามาเทียบแค่เฉพาะ o-net เลย
เพราะแม่งไม่ได้เฉพาะแค่ o-net ที่มีปัญหานะครับ แม่งเกือบทั้งหมด
เวลาบ่นแนะนำให้บอกรวมๆประมาณ ข้อสอบวัดมาตรฐานของ สทศ ไปเลยดีกว่า
ครอบคลุมดี 55555555

ปล2. ย้ำอีกรอบ U-NET ไม่ใช่เรื่องใหม่นะครับ มีข่าวมาหลายปีแล้ว
คราวก่อนนู้นโดนวิจารณ์ไปหนักเหมือนกัน แล้วข่าวก็เงียบไป
แล้วมันก็กลับมาดังอีกครั้ง = =”

ปล3. วิกฤตการศึกษาไทย – สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ ชี้ด้วย
O-NET, I-NET, V-NET, U-NET, N-NET GAT และ PAT (พฤศจิกายน 2553)
http://www.niets.or.th/…/c81018b6821449c3c4e96395628c8d5f.p…
5.2 U-NET คืออะไร
ในช่วงที่มีการบริหาร สทศ. ได้เคยมีความพยายามจะจัดสอบ U-NET (University NET) เพื่อจะได้ชี้ว่า มหาวิทยาลัยจัดการเรียนการสอนเป็นอย่างไร นักศึกษามีความรู้ความสามารถมากน้อยเพียงใด ผู้บริหารมหาวิทยาลัย และ สมศ. เห็นว่า U-NET น่าจะหมายถึง การมีงานทำของบัณฑิตและความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิต กับการทดสอบความคิด คุณธรรมจริยธรรม ตามแนว Thailand Qualification Framework (TQF) ของ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) อย่างไรก็ตาม สทศ. ได้วางแนวทางการติดตามบัณฑิตและผู้ใช้บัณฑิตจะใช้การสำรวจผ่าน Real Time Internet ซึ่งถ้าได้ข้อมูล V-NET และ U-NET ก็จะทำให้ประเทศได้เห็นตัวเองมากขึ้น ซึ่งน่าเสียดายที่ ผอ.อุทุทพร จามรมาน ไม่สามารถบริหาร สทศ.ได้ เพราะเหตุผลการเมืองของนักการเมืองที่กำกับดูแล สทศ. ในช่วงเดือน ก.ย. – ต.ค. 2553 มิได้นำการแก้ไข พระราชกฤษฎีกาของสทศ. เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ทำให้ขาดโอกาสในการทำหน้าที่ต่อ

ปล4. แผนงานที่ 7 การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อจัดการสอบ ตรวจขอสอบ และรายงานผลสอบ
5) ระบบติดตามคุณภาพบัณฑิต (U-NET)
รายละเอียดค่าใชจ่ายตามไตรมาส
แผนปฏิบัติงานประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2554
http://www.niets.or.th/…/1195da985129674c9fa6bd2982fe6131.p…
ขั้นตอนการดําเนินงาน งบประมาณรวม
ระบบ V-NET ……………1,000,000.00
ระบบ N-NET ………….. 3,000,000.00
ระบบ GAT/PAT………. .2,000,000.00
ระบบ U-NET ……………5,000,000.00 ***

https://www.youtube.com/watch?v=boiImna3rBI
อะไรของเขา พูดแต่ละที่ไม่เหมือนกันเลย พูดที่นึงบอกว่า
ปีนี้นำร่องสอบเฉพาะนศ.แพทย์(หรือพยาบาลอะไรนี่แหละ) สาขาเดียวก่อน
และสอบตามความสมัครใจของมหาวิทยาลัย (ไม่ใช่ตามความสมัครใจของเด็ก)
แต่อีกที่นึงบอกเริ่มนำร่องสอบบางวิชา และสอบตามความสมัครใจ
สมัครใจ? สมัครใจของใคร มหาวิทยาลัยหรือตัว นศ. พูดไม่เคลียร์ #Orz

 

ใบประกอบวิชาชีพครู ???

ส่วนตัวผมว่าปลดไปก็ดีนะ แต่ไม่ใช่ปลดแล้วปลดเลย
อยากให้มีแบบมาปรับพื้นกันก่อน
ไม่ใช่ว่า สอนเก่ง สอนเป็น จะเป็นครูได้
แต่ “มันมากกว่านั้น”
via https://twitter.com/sornram9254/status/381566296204124161

แต่ผมไม่เครียดอยู่แล้ว จะปลดหรือไม่ปลด เพราะเรียนครูช่าง จบไปทำงานอย่างอื่นก็ได้
หรือไปสอนตาม เทคนิค หรือ อาชีวะ ก็ได้ 55555
via https://twitter.com/sornram9254/status/381566762908524545

อ้ออีกอย่าง ถ้าปลดล็อคจริงๆ อย่าลืมไปเยียวยาเด็กครุ 5 ปี ด้วยนะ สงสารเขา :D
via https://twitter.com/sornram9254/status/381569570512707584

ขอแสดงความคิดเห็นนิดนึง #คหสต ล้วนๆนะครับ “ชุดนักศึกษา”

เรื่องควรรู้เกี่ยวกับ เด็กสายคอม

อาจารย์ vs นักศึกษาต่างสถาบัน

อาจารย์บางคนเดี๋ยวนี้ก็แปลกนะ ชอบหยิ่งกับศิษย์สถาบันอื่น ผมเองก็เคยเจอมาหลายคนและ เคยสอบถามเรื่อง programming กับอาจารย์บางท่าน(อ. สถาบันอื่น) ตอนแรกก็คุยดีๆ พอทราบว่าผมเรียนที่นั่นที่นี่ แกเลิกคุยเลย แถมพูดเหน็บแนมอีก -0-*

แต่มีอาจารย์อยู่ 2 ท่านที่ผมรัก และนับถือมาก ถึงแม้ผมจะเป็นศิษย์คนละสถาบัน แต่ท่านก็ไม่เคยเกลียดหรือดูถูกอะไรผมเลย
– อ.นิมิตร เป็นอาจารย์สอนอยู่ ต่อเรือ เคยไปเรียนพิเศษกับท่าน ท่านก็สอนดีทำให้ผมจากที่โง่คณิตมาก ก็เริ่มคล่องขึ้นมานิดนึง :)
– อ.ตี้ (มั้ง ไม่รู้จักชื่อเล่น อ. ^^) เป็นอาจารย์สอนอยู่ พาณิชย์นอก ผมเคยสอบถามเรื่องเกี่ยวกับ Graphic ต่างๆ บางครั้งปรึกษาเรื่องส่วนตัวด้วย ท่านก็ให้คำแนะนำที่ดีกับผมเสมอ แม้เป็นศิษย์ต่างสถาบันก็ตาม ^^

ความจริงแล้ว ผมว่านะ มันไม่มีเส้นกั้นระหว่าง ศิษย์ กับ อาจารย์ ต่างสถาบันเลย
ถึงแม้จะอยู่คนละสถาบันกันก็ตาม ก็ถือว่าเป็น ศิษย์ เป็น อาจารย์กันได้ ^^

มาตรฐาน ครู อาจารย์ สมัยใหม่

อีกเรื่องที่อยากจะพูดก็คือ “มาตรฐาน ครู อาจารย์ สมัยใหม่”

ใครเคยสังเกตบ้างครับว่า “ครู อาจารย์” สมัยนี้ บางท่านเรียนมาเพื่อเอา “วุฒิ” จริงๆ แต่ไม่มีความสามารถในการ “สอน” ให้ศิษย์ เข้าใจได้เลย อธิบายง่ายๆก็คือ “เรียนมาอย่างไร ก็สอนออกไปแบบนั้น” ไม่มีการยืดหยุ่นเนื้อหาอะไรทั้งนั้น ไม่สนใจว่าศิษย์จะเข้าใจหรือเปล่า ไม่เคยถามอะไรทั้งนั้น…

และอาจารย์บางพวกก็ขี้เกียจจนเกินเหต ไม่เคยมีการสอนเลย สั่งแต่ให้ศิษย์ค้นหาข้อมูลกันเอง ค้นกันเข้าไปทุกคาบ ทุกอาทิตย์ ทุกเทอม แต่ไม่เคยสอนลูกศิษย์เลย แล้วแบบนี้เด็กมันจะมีความรู้ที่ถูกต้องได้อย่างไร ?

คิดหรอว่าการที่ให้ศิษย์หางานหาข้อมูลกันเอง มันจะทำกันทุกคน ? ส่วนมากมันก็ลอกๆกัน เสร็จแล้วส่ง ไม่มีการอ่าน แบบนี้เด็กมันจะมีความรู้ได้อย่างไร ?

แต่ถ้าอาจารย์มีการสอนบ้าง อย่างน้อยข้อมูลที่ท่านสอนก็ยังผ่านหูลูกศิษย์บ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ ^^

ประสบการณ์การฝึกงาน ณ. มจพ

โดยปรกติแล้ว นักศึกษาที่เรียนสายอาชีวะ จะต้องมีการฝึกงาน ส่วนระยะเวลาการฝึกก็แล้วแต่ละสถาศึกษา
โดยกำหนดการฝึกงานก็ 5 เดือน (เอาเข้าจริง ผมย้ายมารอตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์แล้วครับ มาหางานทำไปพลางๆก่อน ฮ่าๆ)
ขณะนั้นผมศึกษาอยู่ สาขาวิชาไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สาขางานเทคนิคคอมพิวเตอร์ แผนกช่างเทคนิคคอมพิวเตอร์ วิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยา” ซึ่งเป็นสาขาที่แยกตัวออกมาจากแผนกอิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นการเรียนก็จะคล้ายๆสาขาไฟฟ้า+อิเล็กทรอนิกส์
และก็ตามปรกติของนักศึกษา ช่วงก่อนฝึกงาน สิ่งที่เครียดกันมากที่สุดก็คือ .. “การหาที่ฝึกงาน” (,__,  )
เพราะกว่าจะได้ที่ฝึกงาน เราก็ต้องเสนอที่ฝึกงานแก่อาจารย์ที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องฝึกงานให้เขาตัดสินใจก่อน
ว่าที่นั้นเหมาะหรือเปล่า งานที่ทำเกี่ยวข้องกับสาขาที่เราเรียนหรือเปล่า บางคนกว่าจะหาที่ฝึกงานได้ ก็แทบแย่ 😞
เพื่อนๆผมส่วนมากก็ฝึกงานแถวๆบ้านบ้าง ศูนย์การค้าอยุธยาพาร์คบ้าง ฟิวเจอร์พาร์ครังสิตบ้าง หรือไม่ก็เซียรรังสิต
ส่วนผม … ไปฝึกซะไกลเลย 😂 ผมได้ไปฝึกงานที่ “มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลาพระนครเหนือ” จากคำแนะนำของรุ่นพี่ผมคนหนึ่ง แต่กว่าจะได้ไปฝึกก็ใช่ว่าจะไปได้ง่ายๆนะ 5555
คนที่เป็นธุระเรื่องฝึกงานให้ เป็น อ.สถาบันอาชีวะแห่งหนึ่งในอยุธยานี่แหละ และเป็นศิษย์เก่า คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มจพ. อีกด้วย รู้สึก อ. ท่านจบครุศาสตร์ฯวิศวกรรมเครื่องกลมา(มั้ง)นะ 😶
ก่อนได้มาฝึกงาน อ. ท่านจะให้ไปเรียนพิเศษกับท่านก่อน เป็นวิชาคณิต ให้ชีทมาเล่มนึง ให้ทำให้หมดเล่ม ถ้าไม่หมดเล่ม ก็อดไปฝึกงาน T____T
ไปเรียนกับ อ. แกวันแรก แทบอยากจะเขวี้ยงชีททิ้ง 😂 อะไรก็ไม่รู้ มึนตึ๊บ 5555 แต่ท้ายแล้วผมก็ผ่านมาได้ 😁

เมื่อผมได้มาฝึกงานที่นี่ มันทำให้ผมต้องปรับตัวเองในหลายๆอย่างเมื่อไปอยู่ที่นั่น เพราะต้องย้ายไปอยู่ที่ กทม. เนื่องจากถ้าผมนั่นไปกลับ อยุธยา-กทม. ค่ารถแพงมาก รายจ่ายก็ประมาณนี้

ค่ารรถ จาก อยุธยา(นครหลวง) – อนุสาวรีย์ชัยฯ – 100บ.
ค่ารถ ปอ.97(อนุสาวรีย์ชัย) – มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลาพระนครเหนือ – 10บ.(ตอนนี้ 13บ.แล้ว)
ค่าอาหาร – 30บ.

รวมทั้งสิ้นไปกลับวันนึงก็ (100×2)+(10×2)+30 = 250 =.=”

แต่ก็มีคนแนะนำว่า “ทำไมไม่นั่งรถไฟไปล่ะมึงเอ๊ยย!” ความจริงก็อยากอยู่หรอกครับ แต่รถแถวย้านผมน่ะสิ รถอยุธยา-ท่าเรือ(ดงหวาย) รอนานมว๊ากกก –* แค่คันแรกก็ไม่ทันแล้วครับ คันแรก 7 โมง ถึงตัวเมืองอยุธยาก็เกือบ 8 โมง และกว่าจะไป กทม อีก .. .
ผมเลยตัดสินใจไปเช่าหออยู่ ได้แถวบางโพ ซ.ประชานฤมิตร(กรุงเทพฯ-นนท์ 5) หรือที่รู้จักกันดีในนาม “ถนนสายไม้” ค่าหอแค่ 1500 รวมค่าเน็ต ค่ากิน ค่ารถฯลฯ ทั้งหมดก็ตกแค่เดือนละไม่เกิน 3,000 แต่ถ้าผมอยู่อยุธยาและนั่งรถไปกลับ
เฉลี่ยตกเดือนละ 250×22= 5,500บ. *0*

ไปอยู่ไม่นานก็ได้เรื่องเลย 55 เนื่องจากซอยที่ผมไปอยู่ ช่วงหน้าซอยมี 7-11 อยู่ ช่วงที่ผมกลับจากการฝึกงาน บังเอิ๊นไปเดินชนสาวอาชีวะคนนึง เพราะแกเล่นยืนเต็มทางเดินเลย พยายามหลบแต่ก็ไม่พ้น 😂
แต่ก็ได้ยินเสียงด่าตามหลังมา เป็นเสียงผู้ชาย เหมือนว่าจะโดนด่าแฮะ (,__,  ) แต่วันรุ่งขึ้นก็มีแก๊งค์วัยรุ่นขี่รถจักรยานยนต์มาหาเรื่อง ผมไม่รู้นะว่าเป็นพวกเดียวกับไอ้คนเมื่อวา่นที่เดินไปชนแฟนมันหรือเปล่า
ไปอาทิตย์แรกก็โดนไล่ตีซะและ 55 แต่ซอยผมอยู่ไกล้ครับ ห่างจากเซเว่นไม่ไกล เลยหนีทัน -_-” แล้วมันก็ตามหลอกหลอนอยู่นาน จนมารู้ว่า เป็นนักศึกษาของสถาบันอาชีวะแห่งหนึ่งแถวๆพระราม 7 นี่แหละ เลยได้อริโดยไม่ได้ตั้งใจ 😂

อยู่ที่นั่นก็เฉียดตายหลายรอบมาก ยิ่งบางวันฝนตกหนัก ไม่มีเสื้อขาวใส่ก็ต้องใส่เสื้อช็อป(ปรกติเด็กสายช่างเวลาฝึกงานก็ใส่ช็อปกันเป็นปรกติ)
ถ้ายังจำกันได้ ที่มีข่าวนักศึกษาสถาบันหนึ่ง ที่ไปรุมทำร้ายสถาบันอริ ที่เอาหินไปรุมปารถเมย์ วันนั้นไปซื้อของ ก็ไม่รู้ว่ารถมันติดอะไร แต่ดันใส่เสื้อช็อปไปเนี่ยสิ (,__,  )
ตั้งแต่นั้นผมเลยต้องมีอาวุธติดตัวไว้ตลอด ปรกติพกแค่คัตเตอร์(จริงๆไม่ได้เอาไว้ทำอะไรใครหรอก ไว้เหลาดินสอเฉยๆ 555 คือเป็นคนไม่ใช้กบเหลาดินสอมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว)และก็มีกระบองเหล็กยืดหดอีกอัน เอาไว้ป้องกันตัวยามฉุกเฉิน

ถ้าพูดถึงเรื่องรถโดยสารต่างๆ ต้องยอมรับเลยว่า รถ ปอ. ยูโรทู (หรือรถอะไรก็ตามแต่ที่ติดแอร์) มารยาทในการขับรถข้อนข้างดี ผิดกับรถแดง ที่มันขับแบบ .. บางคันเหมือนพาไปตายอ่ะ ยิ่งรถฟรียิ่งแล้ว 😂 (ตอนนี้ยูโรทูสาย 97 เลิกวิ่งไปแล้ว)

ฝึกงานที่นู่นผมมักจะเจอพี่ๆที่เรียนที่นั่นบ่อยมาก การทำงานบางครั้งก็ต้องทำในขณะที่พี่ๆเขาเรียนอยู่ แต่ก็ดีอย่าง เพราะบางที่ พอทำงานเสร็จ ผมก็นั่งฟังนั่งเรียนไปกับพี่ๆเขาด้วยเลย รู้เรื่องบ้างไม่รู้บ้าง 5555555
และมีพี่ๆบางคน ชอบมาแซวผมอยู่เรื่อยเลย แรกๆก็ไม่ชอบนะ นานๆไปมันก็ชินและ พี่แกจะแซวไรก็ปล่อยแกไปเห๊อะ 555555

การฝึกงานที่ มจพ. ส่วนมากก็ไม่มีอะไรมากครับ ก็ซ่อมคอมฯ เดินสาย Lan แล้วก็ช่วยงานพี่ๆที่คณะแค่นั้น แต่ที่มันหนักก็เป็นงานที่ 7-11 นี่แหละครับ ลำพังแค่ฝึกงานอย่างเดียว หรือทำ 7-11 อย่างเดียวมันไม่เท่าไหร่หรอกครับ
แต่ทำสองอย่างเลยนี่สิ เฮ้อ 😂 มันก็ค่อนข้างเหนื่อยพอควร เพราะเลิกฝึกงานก็ 2 ทุ่ม (เเลิกงาน 5 โมง ทำโอต่อยัน 2 ทุ่ม) และก็ไปทำ 7-11 ต่อ ยัน 22.00น. ช่วงที่พนักงานน้อยๆต้องทำยัง 00.00น. แต่ปรกติของ 7-11 ถ้าทำงานที่เรารับผิดชอบไม่เสร็จ ก็ต้องทำต่อให้เสร็จ บางวันลากยาวยันตี 1-2 T___T

การทำงาน 7-11 ได้ให้อะไรผมหลายๆอย่าง ที่สำคัญที่สุดก็คือ “เพื่อน” เพราะไปอยู่ที่นั่นแทบไม่มีเพื่อนเลย จะมีก็แค่เพื่อนช่างกลโรงงานที่ไปฝึกที่เดียวกัน และเพื่อนที่นนท์ เรียนอยู่พณิชยการสยาม แต่ก็ไม่ค่อยเจอกันเท่าไหร่ แต่ยังได้เจอกันบ้าง ส่วนเพื่อนที่วิทยาลัยไม่ได้เจอกันเลยจนกว่าจะฝึกงานเสร็จ (,__,  )
แต่การทำงาน 7-11 ก็ทำให้ผมมีความอดทน ตรงต่อเวลา(แต่ก็เข้างานสายอยู่บ่อยๆ 55)

อยู่ไปสักพักผมก็ได้แฟนมาคนนึงนะ มีเด็กมาสมัครงานใหม่ที่ 7-11 ที่ผมทำอยู่ ตอนที่ผมเลิกงาน ระหว่างเดินกลับหอ ก็มีคนตามมา (ในใจนึกว่าไอ้เด็กกลุ่มนั้นมันตามมารังควานกูอีกแล้วไงฟะ 5555) แต่ผิดคลาดครับ กลายเป็นเด็กเซเว่นคนนั้น 😶 เข้ามาจีบและขอเบอร์ผมซะงั้น #ผมนี้งงไปเลย
แต่ว่าคบกันได้ไม่นาน ด้วยการที่ผมเป็นคนที่ไม่เหมือนชาวบ้าน คือถ้าคนที่เราคบเราไม่ได้เป็นคนจีบ มันจะไม่ค่อยมีความผูกพันธ์กันเท่าไหร่ และเขาคงไม่ใช่แน่ๆ อีกอย่างดูๆแล้วก็คงร้ายพอตัว เลยถอยดีกว่า (สรุปตอนเลิกกันแม่งร้ายจริงๆ จะร้องไห้ อิเลว😭)
แต่ก่อนหน้านั้นแฟนเก่าผมก็ขอคืนดี ก็เลยทำให้ถอยออกห่างได้ง่ายขึ้น : D

มาเครียดอีกทีก็ตอนฝึกงานเสร็จครบ 5 เดือนนี่สิครับ เพราะตอนให้คะแนนการฝึกงาน พี่ที่เป็นคนคุมฝึกงานผมดัน ให้คะแนนไม่ได้! งานเข้าล่ะสิทีนี้ 5555 สรุปแล้วต้องให้อาจารย์ที่คณะเป็นคนให้คะแนน
แต่ว่าอาจารย์คนที่ให้คะแนน วันๆนึงแทบไม่เคยเจอผมเลย ผิดกับพี่ๆที่คุมฝึกงานผมที่อยู่ด้วยกันตลอด คะแนนฝึกงานออกมาเลย “ต่ำมากกกกก” อยากจะร้องให้ 😂 เอ๊ะ จริงๆไม่ใช่แค่อยากสิ เพราะวันที่เอาสมุดฝึกงานไปให้ อ. เซน ได้ไปปล่อยโฮที่หน้าห้องภาคไปแล้ว ก็มันกดดันนี่หว่า 5555

ก่อนย้ายกลับอยุธยาก็ได้อริเพิ่มอีก 1 😂 เป็นนักศึกษาอาชีวะแห่งหนึ่งแถวดุสิต วันที่ใส่ช็อปพอดี วันนั้นนั่งรถไปไหนสักที่นี่แหละ ผมก็จำไม่ได้แล้ว มันมาพูดจาแบบดูถูกวิทยาลัยที่ผมเรียน ก็ไม่คิดไรมาก ทำไรไม่ได้เพราะมันมาเยอะ 55 พอจะลงจากรถ ทำเอาท่อแป๊บหรือไม้ก็ไม่รู้ ทำมาเคาะๆราวจับตรงทางลงรถ 🙄
ตอนแรกก็งงว่ารู้ได้ไงว่าผมเรียน วท.อย. เพิ่งมาอ๋อทีหลัง ปรกติผมพกสมุดของวิทยาลัยไว้จดอะไรเรื่อยเปื่อย มันคงเห็นจากสมุดแหละมั้ง
แต่หลังจากกลับมาอยุธยาแล้ว ก็มีคนมาด่ามารังควานใน Facebook ผมอีก คนเดียวกับไอ้คนนั้นเปล่าไม่รู้ 5555 มาด่าประมาณวิทยาลัยมึงกาก 🙄

รวมระยะเวลาตั้งแต่ย้ายมาที่นี่ก็ตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ จนถึงกลางเดือนตุลาคมกันเลยทีเดียว
สิ่งที่ได้จากการไปฝึกงานครั้งนี้ ก็ไม่ได้มีเพียงแค่ “ได้ทำงานในสถานที่จริง” เพียงเท่านั้น แต่ว่า ยังได้ทั้ง “มิตรภาพ” และ “ประสบการณ์”
สุดท้ายนี้ผมก็ขอขอบคุณพี่ๆเพื่อนๆที่ฝึกงาน และที่ 7-11 ทุกคนนะครับ สำหรับทุกๆอย่าง :)

ฮือฮา! ญี่ปุ่นโหวตชุดนักเรียนไทยเซ็กซี่ที่สุด

ทราบกันดีว่า ประเทศญี่ปุ่นเป็นดินแดนแห่งแฟชั่นที่ล้ำเทรนด์สุด ๆ มาทุกยุคทุกสมัย แม้แต่ชุดนักเรียนที่นักเรียนสาวญี่ปุ่นสวมใส่ ก็ยังดูน่ารักสมวัยแฝงด้วยแฟชั่นนิดๆ เหมือนกัน แต่มีเรื่องที่ไม่ น่าเชื่อเกิดขึ้น เมื่อบรรดาสื่อญี่ปุ่นกลับโหวตให้ชุดนักเรียนของไทยเป็นชุดนักเรียนที่เซ็ก ซี่ที่สุดมากกว่าชุดนักเรียนของประเทศญี่ปุ่นเองเสียอีก

โดย หนังสือพิมพ์หลายฉบับของญี่ปุ่น ได้รายงานข่าวว่า จากผลการสำรวจประเมินเครื่องแบบนักเรียน ส่วนใหญ่ยกให้เครื่องแบบชุดนักเรียนของประเทศไทยเป็น เครื่องแบบนักเรียนที่ เซ็กซี่ที่สุด ดังที่เห็นจากนักศึกษาหญิงบางคนใส่เสื้อเชิ้ตรัดติ้ว มองเห็นสัดส่วน ส่วนเว้า ส่วนโค้งของร่างกายอย่างชัดเจน แถมสาวบางคนยังใส่กระโปรงสั้นจุ๊ด มีความยาวไม่ถึงหนึ่งคืบเสียด้วยซ้ำ

ไทย ครองอันดับ ‘เครื่องแบบนักเรียนที่เซ็กซี่ที่สุด’ จากการสำรวจของสื่อญี่ปุ่น

ชาวเน็ตแสดงปฏิกิริยาตอบรับอย่างร้อนแรงเกี่ยวกับเครื่องแบบนักเรียนของไทย

สื่อ ของญี่ปุ่นหลายๆ ฉบับ ต่างกล่าวว่า เครื่องแบบนักเรียนเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องได้รับการประเมิน เนื่องจากเครื่องแบบนักเรียนก็กลายมาเป็นหนึ่งในแฟชั่นอีกประเภทเช่นกัน โดยได้จัดทำการสำรวจขึ้น ซึ่งผลการสำรวจ สื่อญี่ปุ่นได้ประกาศออกมาเมื่อวันที่ 21 มกราคม ว่า เครื่องแบบนักเรียนของไทย เป็นเครื่องแบบนักเรียนที่เซ็กซี่ที่สุด เพราะส่วนของเสื้อเชิ้ตจะโชว์ให้เห็นถึงสัดส่วนของร่างกาย ส่วนกระโปรงก็สั้นมาก โดยมีความยาวไม่ถึง 20 เซนติเมตร

หลังจากมีผลการสำรวจชิ้นนี้ออกมา บรรดาชาวไซเบอร์ของญี่ปุ่นต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ชุดเค รื่องแบบนักเรียนของไทย บ้างก็ว่าชุดสั้นเกินไป รัดเกินไป ไม่น่าจะเป็นเครื่องแบบนักเรียนได้ อีกส่วนก็มองว่า การใส่ชุดรัด ๆ สั้น ๆ แบบนี้ อาจทำให้คดีข่มขืน หรืออาชญากรรมความรุนแรงทางเพศเพิ่มขึ้นได้ ขณะที่บางคนก็ออกมาแย้งว่า ชุดที่เห็นเป็นชุดนักศึกษามหาวิทยาลัย ไม่ใช่เครื่องแบบของนักเรียน นอกจากนี้ยังมีคนวิจารณ์ด้วยว่า โชคดีที่ไม่เกิดในประเทศไทย เพราะไม่อยากใส่ชุดแบบนี้นั่นเอง

เมื่อบทความ นี้ถูกเผยแพร่ออกมา ชาวเน็ตเกาหลีกล่าวแสดงความคิดเห็นว่า

“ประเทศเราก็เปลี่ยนมั่งเถอะ”,

“นี่เป็นจุดเปลี่ยนทัศนคติของฉันเกี่ยวกับประเทศไทยเลยนะนี่”,

“ประเทศเราก็รีบนำเข้ามาเร็วๆ เถอะ”

ต่างกล่าวต้อนรับเครื่องแบบนักเรียนของไทย

แต่ในขณะเดียวกัน ชาวเน็ตส่วนใหญ่กลับแสดงปฏิกิริยาไม่เห็นด้วย อาทิ

“มันรัดเกินไปนะ”,

“นั่นเครื่องแบบนักเรียนเหรอ มันจะไม่ทำให้เกิดอาชญากรรมความรุนแรงทางเพศขึ้นเหรอ”,

“รู้สึกว่านั่นจะเป็นความหมายที่ต้องการสื่อแบบผิดๆนะ จริงๆแล้ว ชุดนั้นเป็นเครื่องแบบของนักศึกษาไทย ไม่ใช่เครื่องแบบของนักเรียน”,

“ประมาณ 70% ของนักเรียนคงรู้สึกอยากจะสวมชุดนั้นน่ะนะ”

อนึ่ง ชาวเน็ตเพศหญิงกล่าวว่า

“โชคดีจังที่ไม่ได้เกิดที่ประเทศไทย”,

“ถ้าฉันใส่ชุดนั้น คงจะถูกว่าว่าไม่น่าดู แล้วไม่รู้ว่าจะถูกไล่ออกไปรึเปล่า”

 

ที่มา :

http://education.kapook.com/view20884.html
http://www.unigang.com/Article/5750
http://www.oknation.net/blog/sigree/2011/01/24/entry-2
http://www.thaibiohazard.com/forum/viewtopic.php?t=16779321