ขอแสดงความคิดเห็นนิดนึง #คหสต ล้วนๆนะครับ “ชุดนักศึกษา”
สัมมนาเรื่องสภาพปัญหาการขาดแคลนกำลังพลด้านวิชาชีพ การศึกษาไทย [ สายอาชีพ & สายสามัญ ] **ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ**
ณ. โรงแรมสตาร์ จ.ระยอง 10/01/2013
การศึกษาไทย [ สายอาชีพ & สายสามัญ ]
สัดส่วนระหว่าง สายอาชีพ : สายสามัญ
ต่างประเทศ 70 : 30
ประเทศไทย 30 : 70
** บางแห่งบอก ประเทศไทย 50 : 50
ref : thairath.co.th/content/edu/308026
หลังจากที่ผมได้มีโอกาศไปฟังสัมมนาเรื่องสภาพปัญหาการขาดแคลนกำลังพลด้านวิชาชีพ มีใจความที่ผมสะดุดใจ
และคิดว่าต้องนำมาเขียน ขยายความลง Blog ให้ได้ ก็มีประมาณนี้ครับ
– ความสำคัญ สายอาชีพ & สายสามัญ
ผมเคยเจอคนบางกลุ่มนะครับ ที่เขาพยายามเชิดชูสายของตัวเอง ให้ดูดีกว่า เก่งกว่า สำคัญกว่าสายอื่นๆ
ผมว่านะครับ ไม่ว่าจะเรียนสายอาชีพ หรือ สายสามัญ ก็มีความสำคัญกันทั้งนั้นแหละครับ เพราะไม่ว่าคนเราจะเรียนสายไหน
ทำงานสายไหน ก็ล้วนต้องพึ่งพา ช่วยเหลือกันทั้งนั้นแหละครับ
ตัวอย่างเช่น สายสามัญก็จะเชี่ยวชาญด้านการคำนวน ด้านวิชาการ
สายอาชีพ ก็เชี่ยวชาญด้านสายที่ตัวเองได้เรียนได้ศึกษามา
เพราะฉนั้น อย่าไปดูถูกกันเลยครับ “ทุกสายทุกสาขาล้วนมีความสำคัญอยู่ในตัวมันเอง” ^_^
[ ช่างพึ่งช่าง : ช่างกลึงพึ่งช่างชัก ช่างสลักพึ่งช่างเขียน ช่างรู้พึ่งช่างเรียน ช่างติเตียนไม่ต้องพึ่งใคร ]
– สาเหตุ/เหตุผลการเลือกศึกษาต่อ สายอาชีพ & สายสามัญ
มีใครเคยสังเกตบ้างใหมครับว่า ..
โรงเรียน , วิทยาลัย ต่างๆก็มีเยอะ โรงเรียนบางที่แค่อำเภอเดียวมีเป็นสิบ (แต่พวกสถาบัน , วิทยาลัยอาจน้อยหน่อย) แต่ทำไมเด็กนักเรียนก็ยังพยายามอยากที่จะเข้าไปเรียนโรงเรียนดังๆ โรงเรียนใหญ่ๆ หรือ โรงเรียนในตัวจัหวัด(ในตัวเมือง)กันนัก ?
เพราะคุณภาพสถานศึกษา เพราะคุณภาพครูอาจารย์ เพราะด้านฐานะ หรืออะไรกันแน่ ???
– แนวโน้มการศึกษาต่อ/การทำงาน สายอาชีพ & สายสามัญ
แน้วโน้มหลักๆก็คงหนีไม่พ้น การเลือกเรียนในสาย , สาขาที่เราชอบ ที่เราอยากเรียน แต่จริงๆแล้ว ผมว่ามีแบ่งย่อยได้อีกนะ อย่างเช่น
– ระดับความต้องการในตลาดแรงงานระหว่างสายอาชีพ & สายสามัญ
อย่างที่ผมเคยกล่าวไว้ตอนต้นเลยครับ ทุกสายทุกสาขาย่อมมีความต้องการในตลาดแรงงานในสายที่เราเรียนเราศึกษามาทั้งนั้น
อย่าลืมที่ผมเคยบอกนะครับว่า “ทุกสายทุกสาขาล้วนมีความสำคัญอยู่ในตัวมันเอง”
– คุณภาพ/ทักษะ/ความสามารถ สายอาชีพ & สายสามัญ
อย่างที่ผมเคยบอก (อีกแล้ว -_-“) “ทุกสายทุกสาขามีคุณภาพอยู่ในตัวมันเอง” อยู่ที่ว่าเราเรียนสายไหน และตัวเราเองมีความสามารถ มีศักยภาพอยู่ในตัวแค่ไหน
กับการนำไปศึกษา ต่อยอด หรือนำไปทำงาน
– เป้าหมายในการเรียน (เอาวุฒิ & ความรู้)
อันนี้อยากให้ทุกท่านลองคิดดูสักหน่อยครับว่า “ที่เราเรียนๆกันมาในสาย สาขาที่เราเรียนมาเนี่ย เรียนไปเพื่ออะไร”
เรียนเพื่อเอาใบปริญญา เรียนเพื่อเอาความรู้และประสบการณ์ หรือเรียนเพื่อเอาทั้งความรู้ ประสบการณ์ และ ใบปริญญา ????
(จริงๆไม่ใช่อะไรหรอก ขี้เกียจพิมพ์และ เดี๋ยวพวกโลกสวยดราม่าเอา พิมพ์เนื้อหาไปรอบแล้ว แต่ลบทิ้งดีกว่า -_-“)
– สื่อ กับการเสนอข่าวต่อสายอาชีพ
หัวข้อนี้อยากปักหมุด+เน้น*ตัวหนา* ให้สื่อทั้งหลายอ่านจริงๆ
เด็กสายอาชีพน่ะ เวลาทำเรื่องดีๆ ไม่ค่อยจะลงข่าวกันหรอก ถึงลงก็ลงข่าวให้แม่งนิดเดียว หรือไม่ก็ไปลงข่าวหน้าด้านในๆหน้าท้ายๆ
สกุ๊ปเล็กๆ หรือสรุปข่าวเด็นประจำวัน บางทีแทบต้องไปจ้างให้สื่อมาทำข่าวให้กันเลยทีเดียวเชียว
แต่เรื่องแย่ๆตีกันแบบนี้ สื่อแม่งจมูกไวชิบหาย มาทำข่าวไวเป็นจรวด เผลอๆใจดีเอาขึ้นหน้าหนึ่งให้เลย
มิหนำซ้ำ บางที(หรืออาจทุกที)มีบริการใส่เสริมเติมแต่ง ใส่ไข่ให้ข่าวอีกด้วย (เขียนเว่อร์ๆไว้ จ่ะได้ขายข่าวได้) -_-”
– ทัศนคติต่อสายอาชีพ
อันนี้ก็อาจไปโยงกับแนวโน้มการศึกษาต่อ ด้านความปลอดภัย สักหน่อยนะ ก็คือเรื่องสื่อเรื่องภาพพจน์เนี่ย ทำให้สายอาชีพ
มักถูกมองในแง่ลบมากกว่าในด้านบวก ทั้งที่จริงแล้ว คนที่ทำเรื่องแย่ๆมีไม่มาก แต่เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า “ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้อง”
โดยไม่ดูเลยว่า แท้จริงแล้ว คนสายอาชีพนั้น ได้ทำความเจริญให้กับประเทศชาติมากมายแค่ไหน .. .
อยากจะบอกว่า “สื่อ” เนี่ย ตัวสำคัญเลยนะ ต่อเรื่องภาพพจน์ ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็แล้วแต่ -_-”
//ให้ข่าวที่เป็นกลางหน่อยก็ดีนะครับ คุณพี่สื่อทั้งหลาย …
ใกล้วจบแล้วววววว! ดีใจจัง :D
ผ่านมา 3 ปีแล้ว ที่ผมได้เข้ามาเรียน เป็นนักเรียนของวิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยา หรือที่หลายๆคนเรียกว่า “เทคนิคกรุงเก่า” หรือ “เทคนิคพระนคร” รู้สึกภูมิใจมากครับ ที่ได้เป็นศิษย์สถาบันนี้
ผมยังจำวันแรกได้ดีที่เข้ามาสมัครเรียนที่นี่ คุณนึกดูนะว่าตอนนั้นเด็กจนๆ เรียนก็ไม่ได้เก่งอย่างผม เกรดตอนนั้นแค่ 2.9 กว่าๆเอง สอบติดที่นี่ได้มันดีใจมากแค่ไหน :)
จากเด็กขาสั้น ได้เปลี่ยนเป็นมาใส่ขายาว :D
สิ่งที่ผมดีใจและประทับใจมากที่สุดก็คือ ดีใจที่ได้เข้าเรียนแผนกที่ผมฝันไว้ว่าอยากเข้า นั่นก็คือ “แผนกเทคนิคคอมพิวเตอร์” ซึ่งผมเป็นรุ่นที่ 2 เพราะเป็นแผนกเพิ่งเปิดใหม่
พูดได้เต็มปากว่า เด็กเทคนิคคอม เป็นแผนกที่เด็กดีสุดเลยก็ว่าได้(รึเปล่า่ 55) เพราะรุ่นพี่แต่ละคนน่ารักมาก ดูแลเอาใจใส่น้องๆ แต่ปัจจุบันก็เริ่ม….นิดนึง เพราะนักเรียนเริ่มเยอะขึ้นแล้ว ^^
ที่นี่ ทำห้ผมได้อะไรหลายๆอย่าง ทั้งด้านวิชาความรู้ ความกล้าแสดงออก ความอดทน (และคู่อริ เกี่ยวมั๊ย 55)
แต่ก็อย่างว่านะ เด็กช่าง ย่อมต้องเจอโดนต่อยโดนตีกระบาลบ้างเป็นธรรามดา 55 ผมก็เคยโดนนะ( บ่อยด้วย ==” ) มันเลยทำให้เรารู้วิธีหลบหลีก หัดสังเกตมากขึ้น (ไม่ค่อยเกี่ยว แต่มันก็เกี่ยวนะ #เอ๊ะ ยังไง 55 – -” )
สุดท้ายก็ขอขอบคุณครูอาจารย์ทุกท่าน ที่คอยอบรมสั่งสอนพวกผมทุกคนให้มีวิชาความรู้ และขออวยพรให้เพื่อนๆทุกคนได้ที่เรียนดีๆตามที่หวังและตั้งใจไว้ ได้เข้ามหาลัยที่ไฝ่ฝันไว้ให้ได้นะ ^^
และท้ายสุดจริงๆ พี่ๆขอให้น้องๆปี 1-2 ทุกคนตั้งใจเรียนนะ ขอให้จบกันทุกคน และอย่าทำให้อาจารย์เสียใจล่ะ :)
รักเพื่อนๆทุกคนครับ Love Friend <3 Forever
อาจารย์บางคนเดี๋ยวนี้ก็แปลกนะ ชอบหยิ่งกับศิษย์สถาบันอื่น ผมเองก็เคยเจอมาหลายคนและ เคยสอบถามเรื่อง programming กับอาจารย์บางท่าน(อ. สถาบันอื่น) ตอนแรกก็คุยดีๆ พอทราบว่าผมเรียนที่นั่นที่นี่ แกเลิกคุยเลย แถมพูดเหน็บแนมอีก -0-*
แต่มีอาจารย์อยู่ 2 ท่านที่ผมรัก และนับถือมาก ถึงแม้ผมจะเป็นศิษย์คนละสถาบัน แต่ท่านก็ไม่เคยเกลียดหรือดูถูกอะไรผมเลย
– อ.นิมิตร เป็นอาจารย์สอนอยู่ ต่อเรือ เคยไปเรียนพิเศษกับท่าน ท่านก็สอนดีทำให้ผมจากที่โง่คณิตมาก ก็เริ่มคล่องขึ้นมานิดนึง :)
– อ.ตี้ (มั้ง ไม่รู้จักชื่อเล่น อ. ^^) เป็นอาจารย์สอนอยู่ พาณิชย์นอก ผมเคยสอบถามเรื่องเกี่ยวกับ Graphic ต่างๆ บางครั้งปรึกษาเรื่องส่วนตัวด้วย ท่านก็ให้คำแนะนำที่ดีกับผมเสมอ แม้เป็นศิษย์ต่างสถาบันก็ตาม ^^
ความจริงแล้ว ผมว่านะ มันไม่มีเส้นกั้นระหว่าง ศิษย์ กับ อาจารย์ ต่างสถาบันเลย
ถึงแม้จะอยู่คนละสถาบันกันก็ตาม ก็ถือว่าเป็น ศิษย์ เป็น อาจารย์กันได้ ^^
อีกเรื่องที่อยากจะพูดก็คือ “มาตรฐาน ครู อาจารย์ สมัยใหม่”
ใครเคยสังเกตบ้างครับว่า “ครู อาจารย์” สมัยนี้ บางท่านเรียนมาเพื่อเอา “วุฒิ” จริงๆ แต่ไม่มีความสามารถในการ “สอน” ให้ศิษย์ เข้าใจได้เลย อธิบายง่ายๆก็คือ “เรียนมาอย่างไร ก็สอนออกไปแบบนั้น” ไม่มีการยืดหยุ่นเนื้อหาอะไรทั้งนั้น ไม่สนใจว่าศิษย์จะเข้าใจหรือเปล่า ไม่เคยถามอะไรทั้งนั้น…
และอาจารย์บางพวกก็ขี้เกียจจนเกินเหต ไม่เคยมีการสอนเลย สั่งแต่ให้ศิษย์ค้นหาข้อมูลกันเอง ค้นกันเข้าไปทุกคาบ ทุกอาทิตย์ ทุกเทอม แต่ไม่เคยสอนลูกศิษย์เลย แล้วแบบนี้เด็กมันจะมีความรู้ที่ถูกต้องได้อย่างไร ?
คิดหรอว่าการที่ให้ศิษย์หางานหาข้อมูลกันเอง มันจะทำกันทุกคน ? ส่วนมากมันก็ลอกๆกัน เสร็จแล้วส่ง ไม่มีการอ่าน แบบนี้เด็กมันจะมีความรู้ได้อย่างไร ?
แต่ถ้าอาจารย์มีการสอนบ้าง อย่างน้อยข้อมูลที่ท่านสอนก็ยังผ่านหูลูกศิษย์บ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ ^^
โดยปรกติแล้ว นักศึกษาที่เรียนสายอาชีวะ จะต้องมีการฝึกงาน ส่วนระยะเวลาการฝึกก็แล้วแต่ละสถาศึกษา
โดยกำหนดการฝึกงานก็ 5 เดือน (เอาเข้าจริง ผมย้ายมารอตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์แล้วครับ มาหางานทำไปพลางๆก่อน ฮ่าๆ)
ขณะนั้นผมศึกษาอยู่ สาขาวิชาไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สาขางานเทคนิคคอมพิวเตอร์ แผนกช่างเทคนิคคอมพิวเตอร์ วิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยา” ซึ่งเป็นสาขาที่แยกตัวออกมาจากแผนกอิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นการเรียนก็จะคล้ายๆสาขาไฟฟ้า+อิเล็กทรอนิกส์
และก็ตามปรกติของนักศึกษา ช่วงก่อนฝึกงาน สิ่งที่เครียดกันมากที่สุดก็คือ .. “การหาที่ฝึกงาน” (,__, )
เพราะกว่าจะได้ที่ฝึกงาน เราก็ต้องเสนอที่ฝึกงานแก่อาจารย์ที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องฝึกงานให้เขาตัดสินใจก่อน
ว่าที่นั้นเหมาะหรือเปล่า งานที่ทำเกี่ยวข้องกับสาขาที่เราเรียนหรือเปล่า บางคนกว่าจะหาที่ฝึกงานได้ ก็แทบแย่ 😞
เพื่อนๆผมส่วนมากก็ฝึกงานแถวๆบ้านบ้าง ศูนย์การค้าอยุธยาพาร์คบ้าง ฟิวเจอร์พาร์ครังสิตบ้าง หรือไม่ก็เซียรรังสิต
ส่วนผม … ไปฝึกซะไกลเลย 😂 ผมได้ไปฝึกงานที่ “มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลาพระนครเหนือ” จากคำแนะนำของรุ่นพี่ผมคนหนึ่ง แต่กว่าจะได้ไปฝึกก็ใช่ว่าจะไปได้ง่ายๆนะ 5555
คนที่เป็นธุระเรื่องฝึกงานให้ เป็น อ.สถาบันอาชีวะแห่งหนึ่งในอยุธยานี่แหละ และเป็นศิษย์เก่า คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มจพ. อีกด้วย รู้สึก อ. ท่านจบครุศาสตร์ฯวิศวกรรมเครื่องกลมา(มั้ง)นะ 😶
ก่อนได้มาฝึกงาน อ. ท่านจะให้ไปเรียนพิเศษกับท่านก่อน เป็นวิชาคณิต ให้ชีทมาเล่มนึง ให้ทำให้หมดเล่ม ถ้าไม่หมดเล่ม ก็อดไปฝึกงาน T____T
ไปเรียนกับ อ. แกวันแรก แทบอยากจะเขวี้ยงชีททิ้ง 😂 อะไรก็ไม่รู้ มึนตึ๊บ 5555 แต่ท้ายแล้วผมก็ผ่านมาได้ 😁
เมื่อผมได้มาฝึกงานที่นี่ มันทำให้ผมต้องปรับตัวเองในหลายๆอย่างเมื่อไปอยู่ที่นั่น เพราะต้องย้ายไปอยู่ที่ กทม. เนื่องจากถ้าผมนั่นไปกลับ อยุธยา-กทม. ค่ารถแพงมาก รายจ่ายก็ประมาณนี้
ค่ารรถ จาก อยุธยา(นครหลวง) – อนุสาวรีย์ชัยฯ – 100บ.
ค่ารถ ปอ.97(อนุสาวรีย์ชัย) – มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลาพระนครเหนือ – 10บ.(ตอนนี้ 13บ.แล้ว)
ค่าอาหาร – 30บ.
รวมทั้งสิ้นไปกลับวันนึงก็ (100×2)+(10×2)+30 = 250 =.=”
แต่ก็มีคนแนะนำว่า “ทำไมไม่นั่งรถไฟไปล่ะมึงเอ๊ยย!” ความจริงก็อยากอยู่หรอกครับ แต่รถแถวย้านผมน่ะสิ รถอยุธยา-ท่าเรือ(ดงหวาย) รอนานมว๊ากกก –* แค่คันแรกก็ไม่ทันแล้วครับ คันแรก 7 โมง ถึงตัวเมืองอยุธยาก็เกือบ 8 โมง และกว่าจะไป กทม อีก .. .
ผมเลยตัดสินใจไปเช่าหออยู่ ได้แถวบางโพ ซ.ประชานฤมิตร(กรุงเทพฯ-นนท์ 5) หรือที่รู้จักกันดีในนาม “ถนนสายไม้” ค่าหอแค่ 1500 รวมค่าเน็ต ค่ากิน ค่ารถฯลฯ ทั้งหมดก็ตกแค่เดือนละไม่เกิน 3,000 แต่ถ้าผมอยู่อยุธยาและนั่งรถไปกลับ
เฉลี่ยตกเดือนละ 250×22= 5,500บ. *0*
ไปอยู่ไม่นานก็ได้เรื่องเลย 55 เนื่องจากซอยที่ผมไปอยู่ ช่วงหน้าซอยมี 7-11 อยู่ ช่วงที่ผมกลับจากการฝึกงาน บังเอิ๊นไปเดินชนสาวอาชีวะคนนึง เพราะแกเล่นยืนเต็มทางเดินเลย พยายามหลบแต่ก็ไม่พ้น 😂
แต่ก็ได้ยินเสียงด่าตามหลังมา เป็นเสียงผู้ชาย เหมือนว่าจะโดนด่าแฮะ (,__, ) แต่วันรุ่งขึ้นก็มีแก๊งค์วัยรุ่นขี่รถจักรยานยนต์มาหาเรื่อง ผมไม่รู้นะว่าเป็นพวกเดียวกับไอ้คนเมื่อวา่นที่เดินไปชนแฟนมันหรือเปล่า
ไปอาทิตย์แรกก็โดนไล่ตีซะและ 55 แต่ซอยผมอยู่ไกล้ครับ ห่างจากเซเว่นไม่ไกล เลยหนีทัน -_-” แล้วมันก็ตามหลอกหลอนอยู่นาน จนมารู้ว่า เป็นนักศึกษาของสถาบันอาชีวะแห่งหนึ่งแถวๆพระราม 7 นี่แหละ เลยได้อริโดยไม่ได้ตั้งใจ 😂
อยู่ที่นั่นก็เฉียดตายหลายรอบมาก ยิ่งบางวันฝนตกหนัก ไม่มีเสื้อขาวใส่ก็ต้องใส่เสื้อช็อป(ปรกติเด็กสายช่างเวลาฝึกงานก็ใส่ช็อปกันเป็นปรกติ)
ถ้ายังจำกันได้ ที่มีข่าวนักศึกษาสถาบันหนึ่ง ที่ไปรุมทำร้ายสถาบันอริ ที่เอาหินไปรุมปารถเมย์ วันนั้นไปซื้อของ ก็ไม่รู้ว่ารถมันติดอะไร แต่ดันใส่เสื้อช็อปไปเนี่ยสิ (,__, )
ตั้งแต่นั้นผมเลยต้องมีอาวุธติดตัวไว้ตลอด ปรกติพกแค่คัตเตอร์(จริงๆไม่ได้เอาไว้ทำอะไรใครหรอก ไว้เหลาดินสอเฉยๆ 555 คือเป็นคนไม่ใช้กบเหลาดินสอมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว)และก็มีกระบองเหล็กยืดหดอีกอัน เอาไว้ป้องกันตัวยามฉุกเฉิน
ถ้าพูดถึงเรื่องรถโดยสารต่างๆ ต้องยอมรับเลยว่า รถ ปอ. ยูโรทู (หรือรถอะไรก็ตามแต่ที่ติดแอร์) มารยาทในการขับรถข้อนข้างดี ผิดกับรถแดง ที่มันขับแบบ .. บางคันเหมือนพาไปตายอ่ะ ยิ่งรถฟรียิ่งแล้ว 😂 (ตอนนี้ยูโรทูสาย 97 เลิกวิ่งไปแล้ว)
ฝึกงานที่นู่นผมมักจะเจอพี่ๆที่เรียนที่นั่นบ่อยมาก การทำงานบางครั้งก็ต้องทำในขณะที่พี่ๆเขาเรียนอยู่ แต่ก็ดีอย่าง เพราะบางที่ พอทำงานเสร็จ ผมก็นั่งฟังนั่งเรียนไปกับพี่ๆเขาด้วยเลย รู้เรื่องบ้างไม่รู้บ้าง 5555555
และมีพี่ๆบางคน ชอบมาแซวผมอยู่เรื่อยเลย แรกๆก็ไม่ชอบนะ นานๆไปมันก็ชินและ พี่แกจะแซวไรก็ปล่อยแกไปเห๊อะ 555555
การฝึกงานที่ มจพ. ส่วนมากก็ไม่มีอะไรมากครับ ก็ซ่อมคอมฯ เดินสาย Lan แล้วก็ช่วยงานพี่ๆที่คณะแค่นั้น แต่ที่มันหนักก็เป็นงานที่ 7-11 นี่แหละครับ ลำพังแค่ฝึกงานอย่างเดียว หรือทำ 7-11 อย่างเดียวมันไม่เท่าไหร่หรอกครับ
แต่ทำสองอย่างเลยนี่สิ เฮ้อ 😂 มันก็ค่อนข้างเหนื่อยพอควร เพราะเลิกฝึกงานก็ 2 ทุ่ม (เเลิกงาน 5 โมง ทำโอต่อยัน 2 ทุ่ม) และก็ไปทำ 7-11 ต่อ ยัน 22.00น. ช่วงที่พนักงานน้อยๆต้องทำยัง 00.00น. แต่ปรกติของ 7-11 ถ้าทำงานที่เรารับผิดชอบไม่เสร็จ ก็ต้องทำต่อให้เสร็จ บางวันลากยาวยันตี 1-2 T___T
การทำงาน 7-11 ได้ให้อะไรผมหลายๆอย่าง ที่สำคัญที่สุดก็คือ “เพื่อน” เพราะไปอยู่ที่นั่นแทบไม่มีเพื่อนเลย จะมีก็แค่เพื่อนช่างกลโรงงานที่ไปฝึกที่เดียวกัน และเพื่อนที่นนท์ เรียนอยู่พณิชยการสยาม แต่ก็ไม่ค่อยเจอกันเท่าไหร่ แต่ยังได้เจอกันบ้าง ส่วนเพื่อนที่วิทยาลัยไม่ได้เจอกันเลยจนกว่าจะฝึกงานเสร็จ (,__, )
แต่การทำงาน 7-11 ก็ทำให้ผมมีความอดทน ตรงต่อเวลา(แต่ก็เข้างานสายอยู่บ่อยๆ 55)
อยู่ไปสักพักผมก็ได้แฟนมาคนนึงนะ มีเด็กมาสมัครงานใหม่ที่ 7-11 ที่ผมทำอยู่ ตอนที่ผมเลิกงาน ระหว่างเดินกลับหอ ก็มีคนตามมา (ในใจนึกว่าไอ้เด็กกลุ่มนั้นมันตามมารังควานกูอีกแล้วไงฟะ 5555) แต่ผิดคลาดครับ กลายเป็นเด็กเซเว่นคนนั้น 😶 เข้ามาจีบและขอเบอร์ผมซะงั้น #ผมนี้งงไปเลย
แต่ว่าคบกันได้ไม่นาน ด้วยการที่ผมเป็นคนที่ไม่เหมือนชาวบ้าน คือถ้าคนที่เราคบเราไม่ได้เป็นคนจีบ มันจะไม่ค่อยมีความผูกพันธ์กันเท่าไหร่ และเขาคงไม่ใช่แน่ๆ อีกอย่างดูๆแล้วก็คงร้ายพอตัว เลยถอยดีกว่า (สรุปตอนเลิกกันแม่งร้ายจริงๆ จะร้องไห้ อิเลว😭)
แต่ก่อนหน้านั้นแฟนเก่าผมก็ขอคืนดี ก็เลยทำให้ถอยออกห่างได้ง่ายขึ้น : D
มาเครียดอีกทีก็ตอนฝึกงานเสร็จครบ 5 เดือนนี่สิครับ เพราะตอนให้คะแนนการฝึกงาน พี่ที่เป็นคนคุมฝึกงานผมดัน ให้คะแนนไม่ได้! งานเข้าล่ะสิทีนี้ 5555 สรุปแล้วต้องให้อาจารย์ที่คณะเป็นคนให้คะแนน
แต่ว่าอาจารย์คนที่ให้คะแนน วันๆนึงแทบไม่เคยเจอผมเลย ผิดกับพี่ๆที่คุมฝึกงานผมที่อยู่ด้วยกันตลอด คะแนนฝึกงานออกมาเลย “ต่ำมากกกกก” อยากจะร้องให้ 😂 เอ๊ะ จริงๆไม่ใช่แค่อยากสิ เพราะวันที่เอาสมุดฝึกงานไปให้ อ. เซน ได้ไปปล่อยโฮที่หน้าห้องภาคไปแล้ว ก็มันกดดันนี่หว่า 5555
ก่อนย้ายกลับอยุธยาก็ได้อริเพิ่มอีก 1 😂 เป็นนักศึกษาอาชีวะแห่งหนึ่งแถวดุสิต วันที่ใส่ช็อปพอดี วันนั้นนั่งรถไปไหนสักที่นี่แหละ ผมก็จำไม่ได้แล้ว มันมาพูดจาแบบดูถูกวิทยาลัยที่ผมเรียน ก็ไม่คิดไรมาก ทำไรไม่ได้เพราะมันมาเยอะ 55 พอจะลงจากรถ ทำเอาท่อแป๊บหรือไม้ก็ไม่รู้ ทำมาเคาะๆราวจับตรงทางลงรถ 🙄
ตอนแรกก็งงว่ารู้ได้ไงว่าผมเรียน วท.อย. เพิ่งมาอ๋อทีหลัง ปรกติผมพกสมุดของวิทยาลัยไว้จดอะไรเรื่อยเปื่อย มันคงเห็นจากสมุดแหละมั้ง
แต่หลังจากกลับมาอยุธยาแล้ว ก็มีคนมาด่ามารังควานใน Facebook ผมอีก คนเดียวกับไอ้คนนั้นเปล่าไม่รู้ 5555 มาด่าประมาณวิทยาลัยมึงกาก 🙄
รวมระยะเวลาตั้งแต่ย้ายมาที่นี่ก็ตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ จนถึงกลางเดือนตุลาคมกันเลยทีเดียว
สิ่งที่ได้จากการไปฝึกงานครั้งนี้ ก็ไม่ได้มีเพียงแค่ “ได้ทำงานในสถานที่จริง” เพียงเท่านั้น แต่ว่า ยังได้ทั้ง “มิตรภาพ” และ “ประสบการณ์”
สุดท้ายนี้ผมก็ขอขอบคุณพี่ๆเพื่อนๆที่ฝึกงาน และที่ 7-11 ทุกคนนะครับ สำหรับทุกๆอย่าง :)
ทราบกันดีว่า ประเทศญี่ปุ่นเป็นดินแดนแห่งแฟชั่นที่ล้ำเทรนด์สุด ๆ มาทุกยุคทุกสมัย แม้แต่ชุดนักเรียนที่นักเรียนสาวญี่ปุ่นสวมใส่ ก็ยังดูน่ารักสมวัยแฝงด้วยแฟชั่นนิดๆ เหมือนกัน แต่มีเรื่องที่ไม่ น่าเชื่อเกิดขึ้น เมื่อบรรดาสื่อญี่ปุ่นกลับโหวตให้ชุดนักเรียนของไทยเป็นชุดนักเรียนที่เซ็ก ซี่ที่สุดมากกว่าชุดนักเรียนของประเทศญี่ปุ่นเองเสียอีก
โดย หนังสือพิมพ์หลายฉบับของญี่ปุ่น ได้รายงานข่าวว่า จากผลการสำรวจประเมินเครื่องแบบนักเรียน ส่วนใหญ่ยกให้เครื่องแบบชุดนักเรียนของประเทศไทยเป็น เครื่องแบบนักเรียนที่ เซ็กซี่ที่สุด ดังที่เห็นจากนักศึกษาหญิงบางคนใส่เสื้อเชิ้ตรัดติ้ว มองเห็นสัดส่วน ส่วนเว้า ส่วนโค้งของร่างกายอย่างชัดเจน แถมสาวบางคนยังใส่กระโปรงสั้นจุ๊ด มีความยาวไม่ถึงหนึ่งคืบเสียด้วยซ้ำ
ไทย ครองอันดับ ‘เครื่องแบบนักเรียนที่เซ็กซี่ที่สุด’ จากการสำรวจของสื่อญี่ปุ่น
ชาวเน็ตแสดงปฏิกิริยาตอบรับอย่างร้อนแรงเกี่ยวกับเครื่องแบบนักเรียนของไทย
สื่อ ของญี่ปุ่นหลายๆ ฉบับ ต่างกล่าวว่า เครื่องแบบนักเรียนเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องได้รับการประเมิน เนื่องจากเครื่องแบบนักเรียนก็กลายมาเป็นหนึ่งในแฟชั่นอีกประเภทเช่นกัน โดยได้จัดทำการสำรวจขึ้น ซึ่งผลการสำรวจ สื่อญี่ปุ่นได้ประกาศออกมาเมื่อวันที่ 21 มกราคม ว่า เครื่องแบบนักเรียนของไทย เป็นเครื่องแบบนักเรียนที่เซ็กซี่ที่สุด เพราะส่วนของเสื้อเชิ้ตจะโชว์ให้เห็นถึงสัดส่วนของร่างกาย ส่วนกระโปรงก็สั้นมาก โดยมีความยาวไม่ถึง 20 เซนติเมตร
หลังจากมีผลการสำรวจชิ้นนี้ออกมา บรรดาชาวไซเบอร์ของญี่ปุ่นต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ชุดเค รื่องแบบนักเรียนของไทย บ้างก็ว่าชุดสั้นเกินไป รัดเกินไป ไม่น่าจะเป็นเครื่องแบบนักเรียนได้ อีกส่วนก็มองว่า การใส่ชุดรัด ๆ สั้น ๆ แบบนี้ อาจทำให้คดีข่มขืน หรืออาชญากรรมความรุนแรงทางเพศเพิ่มขึ้นได้ ขณะที่บางคนก็ออกมาแย้งว่า ชุดที่เห็นเป็นชุดนักศึกษามหาวิทยาลัย ไม่ใช่เครื่องแบบของนักเรียน นอกจากนี้ยังมีคนวิจารณ์ด้วยว่า โชคดีที่ไม่เกิดในประเทศไทย เพราะไม่อยากใส่ชุดแบบนี้นั่นเอง
เมื่อบทความ นี้ถูกเผยแพร่ออกมา ชาวเน็ตเกาหลีกล่าวแสดงความคิดเห็นว่า
“ประเทศเราก็เปลี่ยนมั่งเถอะ”,
“นี่เป็นจุดเปลี่ยนทัศนคติของฉันเกี่ยวกับประเทศไทยเลยนะนี่”,
“ประเทศเราก็รีบนำเข้ามาเร็วๆ เถอะ”
ต่างกล่าวต้อนรับเครื่องแบบนักเรียนของไทย
แต่ในขณะเดียวกัน ชาวเน็ตส่วนใหญ่กลับแสดงปฏิกิริยาไม่เห็นด้วย อาทิ
“มันรัดเกินไปนะ”,
“นั่นเครื่องแบบนักเรียนเหรอ มันจะไม่ทำให้เกิดอาชญากรรมความรุนแรงทางเพศขึ้นเหรอ”,
“รู้สึกว่านั่นจะเป็นความหมายที่ต้องการสื่อแบบผิดๆนะ จริงๆแล้ว ชุดนั้นเป็นเครื่องแบบของนักศึกษาไทย ไม่ใช่เครื่องแบบของนักเรียน”,
“ประมาณ 70% ของนักเรียนคงรู้สึกอยากจะสวมชุดนั้นน่ะนะ”
อนึ่ง ชาวเน็ตเพศหญิงกล่าวว่า
“โชคดีจังที่ไม่ได้เกิดที่ประเทศไทย”,
“ถ้าฉันใส่ชุดนั้น คงจะถูกว่าว่าไม่น่าดู แล้วไม่รู้ว่าจะถูกไล่ออกไปรึเปล่า”
ที่มา :
http://education.kapook.com/view20884.html
http://www.unigang.com/Article/5750
http://www.oknation.net/blog/sigree/2011/01/24/entry-2
http://www.thaibiohazard.com/forum/viewtopic.php?t=16779321